จากรายงานของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ประมาณการ 1 ใน 3 ของ ผู้ใหญ่ 75 ล้านคน หรือ 29% ของประชากรเป็นโรคความดันโลหิตสูง และในรายงานฉบับเดียวกันก็ระบุว่ามีเพียง 54% เท่านั้นที่สามารถควบคุมความดันไว้ได้
เนื่องจากความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหลายอย่าง มันจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องรู้ และ สามารถจัดการกับมันอย่างมีประสิทธิภาพ
สุขภาพจะดีนั้นรวมถึงความสมดุลของการออกกำลังกายและการรับประทานอาหาร เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความดันโลหิตให้ดี นอกจากนั้นความจริงที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ประโยชน์ของกรดไขมันโอเมก้า 3 สามารถลดความดันได้ และกรดไขมันโอเมก้า3 นั้นมันก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกันหมดทุกตัว – อย่างไรก็ดีกรดไขมันโอเมก้า3 จากปลา ย่อมดีกว่า จากเมล็ดแฟลกซ์ แน่นอน
ชนิดของกรดไขมันโอเมก้า 3 มีดังนี้
กรดไขมันโอเมก้า 3 มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพโดยรวมที่ดี เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนที่ร่างกายต้องการเพื่อให้ทำงานดี แม้ว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพของมนุษย์ แต่ร่างกายของเราก็ไม่สามารถผลิตเองได้ ซึ่งหมายความว่าคุณต้องกินไขมันที่มีประโยชน์เหล่านี้ผ่านทางอาหาร สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบก็คือไขมัน Omega-3 มีอยู่ 11 ชนิด แต่ที่สำคัญที่สุดคือกลุ่ม ALA, EPA และ DHA
กรดแอลฟ่า-ไลโนเลนิก (ALA) จัดอยู่ในกลุ่มกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมันจำเป็นมีประโยชน์อย่างมากต่อระบบการไหลเวียนของเลือด จะพบได้ในแหล่งพืช แต่ถ้าว่าก่อนที่ร่างกายจะนำ ALA ไปใช้ได้นั้นต้องมีกระบวนการแปลงเปลี่ยนเป็น EPA แต่ไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของร่างกาย ยิ่งคนชราก็ยิ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย ดังนั้นปัจจัยของระดับร่างกายกับกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นจำกัด ประสิทธิภาพจึงไม่ได้ใกล้เคียงกับกรดไขมันโอเมก้า3ในทะเล ตามการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Clinical Nutrition (5) ดังั้นจึงจำเป็นต้องกินอาหารทะเล หรือ อาหารเสริมน้ำมันปลา
กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (EPA) หน้าที่หลักของ กรดไขมันโอเมก้า 3 ทำงานเพื่อสนับสนุนการจัดการการอักเสบที่มีสุขภาพดีในขณะที่กรดไขมันโอเมก้า 6 ช่วยเพิ่มการอักเสบ ซึ่งประโยชน์ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด และช่วยเพิ่มระดับ HDL ในเลือด ทำให้ลดภาวะหลอดเลือดอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เป็นต้น
นอกจากนั้น ความสำคัญของกรดไขมัน EPA คือให้สารเคมีคล้ายฮอร์โมน พลอสตาไซคลิน-3 (prostacyclin-3) และ ทรอมบอกแซน-3 (thomboxan-3) ซึ่งทำให้หลอดเลือดขยายตัว เลือดไม่เกาะกันเป็นก้อน ลดการเกิดลิ่มเลือดและทำให้เลือดแข็งตัวช้า อาหารที่มี EPA สูงช่วยสนับสนุนการตอบสนองทางระบบภูมิคุ้มกันทางอารมณ์ และ จิตใจ ตัวอย่างจาก วารสาร European Neuropsychopharmacology ชี้ให้เห็นถึงผลการวิจัย (6) ยืนยันว่าน้ำมันปลาที่มี EPA และ DHA สูงมีศักยภาพในการปรับสภาวะอารมณ์และความรู้สึกทางอารมณ์ได้ดี นอกจากนี้วารสารวัยหมดประจำเดือน (7) ตีพิมพ์ผลการวิจัยที่พบว่า EPA สนับสนุนการจัดการกับสุขภาพวัยหมดประจำเดือนได้ดี
กรดโดโคซะเฮกซะอีโนอิก (DHA) เป็นกรดไขมัน (fatty acid) ชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว พบมากที่สุดในเซลล์สมองและประสาทตา จะพบในเซลล์สมอง 40% และพบในประสาทตา 60% มีความสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาของสมองและประสาทตา
ทำไม DHA จึงเป็นอาหารของสมอง เพราะมีหน้าที่สำคัญในการช่วยรักษาสภาพของระบบ ประสาทและการเรียนรู้ของผู้สูงอายุและเกี่ยงข้องกับสัญญาณเซลล์ และเนื่อเยื่อจอภาพลูกตา คนแก่ที่มีกรดไขมัน DHA ต่ำในสมองจึงคิดช้า ว้าเหว่ ความจำไม่แม่น มีผลวิจัยยืนยันว่าช่วยในพัฒนาการสมองของเด็กทารกให้ฉลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วง 3 ขวบปีแรก จากการศึกษา (8) ที่มีการตีพิมพ์ผลงานเหตุแห่งโรคในวัยเด็กที่ขาด DHA ในช่วงต้นชีวิตคือ ระดับการเรียนรู้ขาดความสนใจและพฤติกรรมที่ไม่ดี และสมาธิสั้น นอกจากนี้ยังมีหลักฐาน (9) ที่ DHA มีผลดีต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด แหล่งที่พบมากใน น้ำนมแม่ และ อาหารทะเล
ทำไม DHA จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก?
แหล่งที่มีมากที่สุด EPA และ DHA คือน้ำมันปลาและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก ตัวอย่างเช่นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Circulation (10) แสดงให้เห็นว่าน้ำมันปลาขนาด -0.66 / -0.35 มม. ปรอท / กรัมมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการความดันโลหิตได้
นักวิจัยจากออสเตรเลียและนิวยอร์กได้ทำการศึกษา (11) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการรวมกันของโอเมก้า 3 และ statin เป็นผลต่อการเกิดคอเลสเตอรอลดี ในขณะเดียวกัน American Journal of Hypertension (12) ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยที่ยืนยันว่าการบริโภค DHA ที่เพิ่มขึ้นอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ควบคุมความดันโลหิตได้ ในขณะที่การศึกษาอื่นแสดงให้เห็นว่า DHA เป็นกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สามารถช่วยควบคุมความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ ได้
ทำไมไม่ใช้กรดไขมันมันพืช?
โปรดจำไว้ว่ากรดไขมัน มีประโยชน์ช่วยในการควบคุมความดันโลหิต และไม่ต้องสงสัยว่าทำไมคุณต้องเลือกทานกรดไขมัน DHA จากน้ำมันปลาเพราะร่างกายของคนเรามีความจำกัด ในการสังเคราะห์กรดไขมัน ALA เพื่อให้ได้กรดไขมัน DHA ขึ้นมาใช้เอง ดังนั้นถ้าเลือกทานน้ำมันจาก flaxseed ต้องหามากินจากพืช ซึ่งร่างกายสังเคราะห์ขึ้นมาใช้เองไม่ได้ ไม่เหมือนน้ำมันปลาที่สามารถสังเคราะห์ใช้เองได้บ้างในร่างกาย
ข้อสรุปนั่นเป็นเหตุผลที่น้ำมัน flaxseed และน้ำมันพืชอื่น ๆ ควรจะเป็นตัวทานเสริมแต่ไม่ได้ทานแทนน้ำมันปลา
References
1.https://www.cdc.gov/bloodpressure/facts.htm
2.https://www.hsph.harvard.edu/nutritionsource/omega-3-fats/
3.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9637947
4.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/16828546
5.http://ajcn.nutrition.org/content/100/Supplement_1/443S.long
6.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22910528
7.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19034052
8.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/9196357
9.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10479465
10.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/8339414
11.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC2915759/
12.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3235507/
13.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/10454450
14.http://www.pnas.org/content/110/12/4816.full
15.http://www.health.harvard.edu/staying-healthy/why-not-flaxseed-oil
แนะนำผลิตภัณฑ์
|